

คุณเคยสังเกตยางรถยนต์ที่ตัวเองขับอยู่บ้างไหม? ว่ายางรถยนต์ของเราหมดอายุหรือยัง? หากยังไม่เคยตรวจสอบหรือสังเกต ทางเราขอแนะนำว่าให้เริ่มตรวจเช็กดูอายุยางรถยนต์โดยเร็ว เพราะถ้ายางรถยนต์เสื่อมสภาพแบบไม่รู้ตัว อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งทางคาร์ฮีโร่เองก็ขนข้อมูลดีๆ มาให้ทุกคนได้อ่านกัน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุที่ยางรถยนต์เสื่อมสภาพ รวมทั้งวิธีการตรวจเช็กดูยางรถยนต์ เพื่อให้ทุกคนได้ขับขี่กันอย่างปลอดภัย
ยางรถเสื่อมสภาพเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
ยางรถยนต์นั้นเสื่อมสภาพได้ตามอายุการใช้งาน ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เสื่อมสภาพคือ สภาพอากาศ การดูแลรักษา การตรวจเช็กลมยาง น้ำหนักบรรทุก รวมทั้งการขับขี่ประจำวัน ซึ่งทั้งหมดก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปดังนี้
ความดันลมยาง
การเติมลมยางคือ การนำอากาศเติมเข้าไปในล้อยางทั้ง 4 ล้อ ซึ่งจะต้องใช้เครื่องที่มีแรงดันและมาตรวัดที่ถูกต้อง เหมาะสม และหากเติมลมยางด้วยเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเติมลมในความดันที่ไม่เหมาะสม ย่อมส่งผลกระทบถึงสมรรถนะการขับขี่ ทำให้เปลืองน้ำมันและอาจจะทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพได้ ดังนั้นก่อนเติมลมยางควรศึกษาให้ดีว่ารถแต่ละรุ่นนั้นควรเติมลมยางเท่าไรจึงถือว่าเหมาะสมและปลอดภัย
ความผิดปกช่วงล่าง
ความผิดปกติของช่วงล่างรถยนต์นั้นอาจเป็นผลกระทบสืบเนื่องมาจากการไม่รักษาสภาพยางรถยนต์ หรือการขับขี่ในทางที่ขรุขระหรือวิบาก รวมทั้งการบรรทุกน้ำหนักที่มากเกินไป ซึ่งปัจจัยนี้อาจจะทำยางของรถยนต์เสื่อมสภาพได้ ในส่วนของยางรถยนต์นั้นมีจุดสำคัญที่ต้องตรวจเช็ก 3 จุด ดังต่อไปนี้
-
มุมแคมเบอร์
มุมแคมเบอร์คือ มุมด้านในหรือด้านนอกของยางรถยนต์ โดยสามารถมองจากด้านหน้าของตัวรถในลักษณะเส้นดิ่ง (จากใต้ท้องรถจรดพื้น) ถ้าเห็นว่าล้อรถเอียงไปด้านในหรือด้านนอกมากจนเกินไป แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับมุมแคมเบอร์ ซึ่งช่างผู้เชี่ยวชาญจะเรียกว่ามุมแคมเบอร์เป็นบวกหรือลบตามศัพท์ทางเทคนิค สำหรับความสำคัญของมุมแคมเบอร์ จะช่วยรองรับหรือต้านการเอียงของรถในขณะเข้าโค้ง และยังช่วยให้เกิดผลดีอื่นๆ เช่น ทำให้พวงมาลัยเบาขึ้น ช่วยลดวงเลี้ยว ลดการลื่นถไลของล้อ เป็นต้น
-
มุมโท
มุมโทเป็นมุมที่มองจากมุมสูง เปรียบเทียบเหมือนการที่เราก้มลงมองเท้าของตัวเอง จะเห็นว่าเท้าของเราเบนเข้า เบนออก หรือตั้งตรง เหมือนกับการมองล้อรถ หากมองจากมุมบน จะเห็นว่าล้อรถนั้นมีการเบนเข้า เบนออกหรือตั้งตรง หากสังเกตเห็นว่ายางรถยนต์มีลักษณะเดียวกับเท้าของเรา (เอียงเข้าด้านใน) เราเรียกกันว่ามุมโทอิน แต่ในทางตรงช้าม หากยางรถยนต์อยู่ในมุมที่เอาเท้าเบนออกด้านนอกจะเรียกว่ามุมโทเอาต์ ซึ่งการที่มุมโทนี้ไม่ตั้งตรงจะต้องตั้งศูนย์ล้อใหม่
-
มุมแคสเตอร์
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพคือ มุมแคสเตอร์ ซึ่งมุมนี้จะช่วยในการบังคับพวงมาลัยและควบคุมความเสถียรภาพในการบังคับวงเลี้ยวโค้งให้มีความสมดุล และหมุนคืนหลับมายังตำแหน่งทางตรง ซึ่งหากมุมแคสเตอร์มีควาผิดปกติ อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาขณะควบคุมรถได้ โดยเฉพาะในเรื่องการยึดเกาะพื้นถนน ซึ่งหากหน้ายางอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพได้ไวยิ่งขึ้น
ซึ่งมุมทั้ง 3 นี้ เป็นเพียงหลักการสังเกตเบื้องต้นให้เราพิจารณาว่าล้อรถของเรานั้นอยู่ในสภาวะสมดุลย์หรือไม่ หากเห็นว่าล้อรถนั้นมีความผิดปกติ ควรนำรถเข้าทำการตั้งศูนย์เพื่อให้ปลอดภัยในการขับขี่
ลักษณะการใช้งาน
หากผู้ขับขี้ต้องขับขี่ในเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสภาพช่วงล่างของรถ และอาจจะเป็นสาเหตุของการทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพได้ เนื่องจากพื้นที่ที่ขรุขระทำให้ล้อรถมีการเบี่ยงไปตามสภาพถนน นอกจากนี้การขับขี่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น การขับรถเร็วเกินไป หรือการเบรคอย่างกะทันหันก็มีผลต่อการสึกของล้อยางไวขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดการลื่นไถล เป็นอันตรายในการขับชี่อีกด้วย
สภาพอุณหภูมิ
อีกปัจจัยที่ส่งผลให้ยางรถเสื่อมก็คือ สภาวะอากาศ หากรถของเราต้องจอดกลางแจ้ง ยางรถก็จะเสื่อมได้ไวมากขึ้น เพราะยางล้อรถต้องเผชิญทั้งแดดและฝน อีกทั้งความร้อนจากการขับขี่ที่ล้อรถจะต้องเสียดสีกับพื้นถนน เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลทำให้ยางรถยนต์เสื่อมไวอีกเช่นกัน
วิธีดูยางรถยนต์เสื่อมสภาพ
ได้รู้สาเหตุของยางรถยนต์เสื่อมสภาพกันไปแล้ว คิดว่าหลายๆ คนก็น่าจะพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับยางรถ สำหรับหัวข้อนี้คาร์ฮีโร่ก็จะมาพูดถึงการตรวจสอบดูอายุยางรถยนต์ว่าจริงๆ แล้วยางรถยนต์ที่คุณขับทุกวันนั้นสภาพเป็นอย่างไร ถึงเวลาเปลี่ยนแล้วหรือไม่!
-
ยางรถยนต์สึกหรอ
การใช้งานยางรถยนต์ไปนานวันเข้าย่อมก่อให้เกิดการสึกหรอของเนื้อยางหรือดอกยาง ทำให้สมรรถนะในการรีดน้ำและการยึดเกาะด้อยลง ทั้งนี้ การสึกหรอของยางก็มีหลายแบบ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสภาพทางกายภาพของยาง ดังจะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
-
การสึกแบบฟันเลื่อย
การสึกหรอลักษณะแบบฟันเลื่อย มักเกิดบริเวณไหล่ยาง โดยวิธีการตรวจสอบดูยางรถยนต์เสื่อมสภาพในจุดนี้ให้เอามือไปสัมผัสที่หน้ายาง หากเกิดความรู้สึกสะดุดมือคล้ายการลูบฟันเลื่อย นั้นหมายความว่ายางของคุณกำลังสึก สำหรับปัญหาการสึกหรอแบบฟันเลื่อยนี้ มักเกิดจากมุมโทที่บวกหรือลบมากเกินไป ซึ่งทำให้บริเวณไหล่ยางรับน้ำหนักมากเกินเป็นเหตุให้เกิดการสึกหรอขึ้น
-
การสึกแบบขนนก
การสึกหรอแบบขนนกนี้เกิดจากการทำงานผิดปกติของศูนย์ล้อหลายแบบพร้อมกัน เช่น มุมโทและมุมแคสเตอร์ที่ไม่สมดุล ส่งผลให้ยางได้รับความสึกหรอไม่เท่ากัน โดยยางส่วนที่สึกหรอมากกว่าจะมีลักษณะเป็นรอยหยัก รูปร่างคล้ายขนนก
-
การสึกที่ไหล่ยางด้านเดียว
การสึกหรอที่ผิดปกติแบบนี้ เกิดจากการที่ไหล่ยางด้านนอกหรือด้านในสึกเร็วกว่าอีกด้านหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเกิดจากการตั้งค่ามุมแคมเบอร์ที่ไม่เหมาะสม การสึกแบบนี้เรียกอีกอย่างว่าการสึกแบบแคมเบอร์
สภาพเนื้อยางรถยนต์ผิดปกติ
การเสื่อมสภาพของยางรถยนต์เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมสภาพของเนื้อยาง ทำให้ยางมีรอยปริ แตก ซึม หรือเป็นเพราะการสึกหรอของดอกยาง ทำให้ยางไม่เกาะถนน เป็นต้น มาดูอาการเสื่อมสภาพแบบต่างๆ ของยางรถยนต์กัน
- ยางซึม หากสังเกตว่ายางรถยนต์ของคุณมีลมออกเร็วกว่าเส้นอื่นๆ อาจสันนิษฐานได้เลยว่ามีรอยรั่ว ควรไปตรวจเช็กสภาพยางและปะรอยรั่วซึม เพื่อป้องกันปัญหายางระเบิด
- ลุยแอ่งน้ำแล้วแฉลบ ในกรณีที่ขับรถลุยแอ่งน้ำตื้นๆ แต่รถมีอาการแฉลบ เกิดจากการที่ดอกยางสึกมากแล้ว สามารถเช็กได้โดยการสังเกตที่สะพานยาง หากดอกยางนั้นสึกลึกเข้าไปเท่ากับสะพานยาง นั่นหมายความว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่แล้ว
- รถเด้งหรือพวงมาลัยสั่น เกิดจากยางบวม ซึ่งอาการนี้เกิดจากการที่ขอบยางอาจจะไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง ทำให้โครงสร้างของยางเสียและทำให้การขับขี่ไม่ราบรื่น
ซึ่งไม่ว่าเนื้อยางของเรานั้นจะเกิดอาการเสื่อมสภาพแบบไหนก็ตาม ย่อมส่งผลให้ไม่ปลอดภัยระหว่างการขับขี่เป็นแน่ ดังนั้นเราควรตรวจเช็กสภาพยางให้ดี เพื่อความมั่นใจในการขับขี่
ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานเท่าไหร่ ขับได้นานไหม ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่ดี
อายุการใช้งานของยางรถยนต์แต่ละเส้นนั้น เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2-3 ปีหรืออยู่ที่ระยะการขับขี่ที่ 30,000-40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการขับขี่ สภาพถนน การรับน้ำหนักบรรทุก เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่ไม่เท่ากัน ซึ่งโดยปกติแล้วบนยางรถยนต์แต่ละเส้นจะมีตัวเลขระบุบนยางทุกเส้น แต่ตัวเลขเหล่านี้จะมีความหมายอะไรกันบ้าง ต้องมาดู!
การกำหนดตัวอักษรและตัวเลขเหล่านี้ เป็นการกำหนดจาก สมาคมยางและกระทะล้อ ซึ่งมีการกำหนดเป็นหลักสากล เรามาดูกันว่าบนยางแต่ละเส้นจะมีการระบุอะไรไว้บนยางกันบ้าง ตัวอย่าง “P225/70R16 91S” ให้สังเกตตัวอักษร P และ LT ซึ่ง P เป็นยางสำหรับรถยนต์โดยสาร ส่วน LT เป็นยางสำหรับรถที่ใช้สำหรับบรรทุกน้ำหนักมาก เช่น รถตู้ รถกระบะ รถบรรทุก เป็นต้น
หลังจากตัว P คือ 225 ซึ่งจะเป็นความกว้างของยาง โดยการวัดขนาดความกว้างของยางนี้จะวัดจากแก้มยางด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งในขณะที่ยางได้เติมลมตามมาตรฐานของยางเส้นนั้นๆ สำหรับโครงสร้างของยาง ในส่วนนี้จะมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของโครงสร้าง ซึ่งหลักๆ จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ RADIAL (ยางเรเดียล) และ DIAGONAL OR BIAS PLY (ยางผ้าใบ)
ในตัวอย่างนี้ จะเป็นรหัส 70R ซึ่งโครงสร้างของยางตัวนี้เป็นตัวอักษร R แปลว่าเป็นประเภทยางเรเดียลนั่นเอง ถัดจากรหัสที่แสดงประเภทของยาง ก็จะเป็นตัวเลขที่ระบุเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ ในตัวอย่างคือ 16 หมายความว่ายางนี้สามารถใส่กับกระทะล้อที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 นิ้ว หรือที่เรียกว่ายางขอบ 16
การดูว่ายางสามารถรับน้ำหนักได้เท่าไร คุณสามารถดูได้จากตัวเลข 91 ส่วนนี้จะเป็รดัชนีการรับน้ำหนัก ซึ่งหากคำนวณเป็นกิโลกรัม ก็สามารถรับน้ำหนักได้ 615 กิโลกรัม สำหรับตัวอักษรสุดท้ายจากตัวอย่างคือ S ซึ่งหมายถึงค่าความเร็วสูงสุดของยาง สำหรับ S จะมีค่าความเร็วสูงสุดที่ 180 กม./ชม.
จะเห็นได้ว่า ตัวอักษรที่ระบุบนยางแต่ละเส้นมีความหมาย และคุณควรให้ความสำคัญในการเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสม และอย่าลืมว่าอายุการใช้งานของยางรถยนต์นั้นก็มีจำกัดเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยจึงต้องหมั่นเช็กอายุและดูสภาพยางรถยนต์อยู่เสมอ
เคล็ดลับยืดอายุยางรถยนต์แบบง่ายๆ ช่วยให้ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น
เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ไม่คงที่ของประเทศไทย ที่มีความร้อนและแดดจัดในฤดูร้อนและมีฝนตกชุกในฤดูฝน ย่อมมีผลต่อสภาวะการขับขี่ อีกทั้งส่งผลกระทบต่อการเสื่อมสภาพของยางรถยนต์อีกด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น หากเราไม่ทำการเปลี่ยนยางย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ เช่น อาจจะทำให้รถลื่นไถล เกิดอุบัติเหตุได้ หรือหากยางบวมก็อาจทำให้ยางระเบิดเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ตามเราสามารถยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
- หมั่นตรวจเช็กลมยาง โดยควรตรวจเช็กขณะที่ยางยังเย็นอยู่
- เติมลมยางให้พอดี ศึกษาจากคู่มือการใช้รถ
- ใช้ยางให้ถูกประเภท สามารถดูจากตัวเลขที่ระบุบนยางแต่ละเส้นได้
- หมั่นนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบช่วงล่างของรถ
- การขับขี่อย่างเหมาะสม สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ได้
สรุป
ยางรถยนต์เสื่อมสภาพเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นด้านการใช้งานหรือสาเหตุอื่นๆ ส่งผลให้อายุการใช้งานยางรถยนต์สั้นลง และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเปลี่ยนยางรถยนต์บ่อยขึ้น ดังนั้น การรู้จักสังเกตอาการรถยนต์หรือดูอายุยางรถยนต์เป็น จะช่วยให้ตรวจพบอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะขับขี่ได้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานรถยนต์สามารถใช้วิธีดูแลรักษาได้อย่างเหมาะเพื่อยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น